“ที่อับอากาศ” (Confined Space) เป็นพื้นที่ทำงานที่มีข้อจำกัดด้านทางเข้า-ออก อากาศถ่ายเทไม่สะดวก และมีความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้เข้าไปทำงาน หากไม่มีการประเมินความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม การทำงานในพื้นที่เหล่านี้อาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง เช่น ขาดอากาศหายใจ สำลักแก๊สพิษ หรือเกิดระเบิดจากไอระเหยของสารไวไฟ
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งก่อนการเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งไม่ใช่เพียงการตรวจวัดแก๊สเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านทั้งด้านกายภาพ เคมี การทำงานร่วมกัน และแผนฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถจัดการควบคุมความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุม
ความหมายของ “ที่อับอากาศ” และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ที่อับอากาศ (Confined Space) ตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หมายถึง พื้นที่ที่ไม่ได้ออกแบบมาให้มนุษย์เข้าไปอยู่ทำงานเป็นประจำ มีทางเข้าออกจำกัด และอาจมีสภาพบรรยากาศที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เช่น ถังเก็บสารเคมี บ่อบำบัดน้ำเสีย ท่อขนาดใหญ่ ห้องใต้ดิน ห้องเก็บของในเรือ ฯลฯ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้แก่:
-
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ. 2562
-
กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยฯ พ.ศ. 2549
-
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
หลักการเบื้องต้นในการประเมินความเสี่ยง ที่อับอากาศ
การประเมินความเสี่ยงในที่อับอากาศสามารถดำเนินการตามหลัก 5 ขั้นตอน ดังนี้:
-
ระบุอันตราย (Hazard Identification): ตรวจสอบว่ามีอันตรายอะไรอยู่ในพื้นที่ เช่น แก๊สพิษ ออกซิเจนต่ำ ความร้อน ความแออัด สารไวไฟ ฯลฯ
-
ประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation): วิเคราะห์ความรุนแรงและโอกาสของอันตรายนั้นๆ
-
กำหนดมาตรการควบคุม (Control Measures): วางแผนควบคุมความเสี่ยง เช่น การระบายอากาศ การใส่อุปกรณ์ป้องกัน การอนุญาตเข้าทำงาน ฯลฯ
-
จัดทำแผนฉุกเฉิน (Emergency Plan): เตรียมแผนช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในกรณีฉุกเฉิน
-
ทบทวนและปรับปรุง: ปรับปรุงการประเมินตามสถานการณ์หรือหลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
รายการที่ต้องประเมินก่อนเข้า “ที่อับอากาศ”
1. ลักษณะกายภาพของพื้นที่
-
มีขนาดเล็กหรือทางเข้าจำกัดหรือไม่
-
ความสูง ความลึก และการเข้าถึงพื้นที่ทำได้ยากหรือไม่
-
มีการระบายอากาศตามธรรมชาติหรือไม่
ตามมาตรฐานสากล OSHA และ NIOSH พื้นที่ที่มีทางเข้าเล็กกว่า 24 นิ้วถือว่าเสี่ยงสูง ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าออกเป็นพิเศษ
2. ประเภทของสารเคมีหรือแก๊สที่อาจพบ
-
มีสารไวไฟ เช่น ไอระเหยจากทินเนอร์ น้ำมัน เบนซิน ฯลฯ
-
มีสารพิษ เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
-
มีการสะสมของก๊าซเฉื่อย เช่น ไนโตรเจน อาร์กอน ทำให้ออกซิเจนต่ำ
3. วัดระดับออกซิเจนในพื้นที่
ควรตรวจสอบระดับออกซิเจนก่อนเข้าทุกครั้ง โดยระดับที่ปลอดภัยคือระหว่าง 19.5% ถึง 23.5% หากต่ำกว่า 19.5% ถือว่า “ขาดอากาศหายใจ”
4. ตรวจวัดบรรยากาศในพื้นที่
ผู้ปฏิบัติงานจะต้องใช้ Gas Detector ในการตรวจวัดความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละประเภทในพื้นที่อับอากาศ ซึ่งเป็นเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงและอุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสมกับงาน
-
ออกซิเจน (O₂)
-
แก๊สไวไฟ (LEL – Lower Explosive Limit)
-
แก๊สพิษต่างๆ เช่น H₂S, CO และอื่นๆ
การตรวจวัดแก๊สควรทำอย่างน้อย 3 ระดับของพื้นที่ ได้แก่ ด้านบน กลาง และล่าง เนื่องจากก๊าซแต่ละชนิดมีความถ่วงจำเพาะต่างกัน
5. ความเสี่ยงจากการทำงานในพื้นที่
-
การเชื่อม ตัด หรือใช้เครื่องจักรอาจทำให้เกิดประกายไฟ
-
การใช้สารเคมีในการล้างหรือเคลือบผิว
-
ความเสี่ยงจากการทำงานของหลายหน่วยงานพร้อมกัน
6. สภาพร่างกายของผู้เข้าไปทำงาน
ต้องมีการตรวจสุขภาพให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น ตรวจระบบทางเดินหายใจ และต้องไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายในพื้นที่อับอากาศ เช่น โรคหอบหืด ความดันสูง หรือโรคหัวใจ
7. เตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต หรือ PPE ให้พร้อม
ต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและผ่านการตรวจสอบ ได้แก่:
-
เครื่องช่วยหายใจ (SCBA)
-
เครื่องวัดแก๊ส
-
เชือกนิรภัยและชุดช่วยดึงกลับ
-
ระบบสื่อสารภายในกับภายนอก
การใช้ “แบบฟอร์มอนุญาตทำงานในที่อับอากาศ” (Work Permit)
แบบฟอร์ม Work Permit เป็นสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการทำงานได้รับอนุญาต โดยมีการประเมินความเสี่ยงและมีมาตรการควบคุมแล้ว โดยต้องมีลายเซ็นของผู้ควบคุมงานและหัวหน้าความปลอดภัย รวมทั้งข้อมูล เช่น:
-
รายชื่อผู้เข้าพื้นที่
-
รายการตรวจวัดแก๊ส
-
รายการอุปกรณ์ที่ต้องใช้
-
ระยะเวลาทำงาน
-
แผนฉุกเฉิน
สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจว่าต้องทำแบบฟอร์มขออนุญาตทำงานในที่อับอากาศยังไง สามารถดูตัวอย่างเพิ่มเติมสำหรับทั้งงานที่อับอากาศ แบบงานความเสี่ยงอื่นๆ ได้ที่ >> แบบฟอร์ม Permit
เตรียมพร้อมแผนฉุกเฉินและซ้อมแผน
แม้จะมีมาตรการป้องกันดีแค่ไหน แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ผู้ปฏิบัติงานหมดสติ หรือระบบระบายอากาศขัดข้อง ทีมช่วยเหลือต้องสามารถเข้าไปช่วยได้ทันที การซ้อมแผน (Emergency Drill) เป็นสิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอ
จัดฝึกอบรมและให้ความรู้กับพนักงานที่ทำงานในที่อับอากาศ
การทำงานในที่อับอากาศต้องมีความรู้เฉพาะทาง และ ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรที่ได้รับการรับรอง เช่น:
สรุป: ก่อนเข้า “ที่อับอากาศ” อย่ามองข้ามการประเมินความเสี่ยง
การทำงานในที่อับอากาศไม่สามารถพึ่งความชำนาญหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียวได้ ความเสี่ยงที่อาจมองไม่เห็น เช่น การสะสมของก๊าซพิษ หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับออกซิเจนแบบฉับพลัน อาจเป็นภัยที่คร่าชีวิตได้ทันที
ดังนั้น การประเมินความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานกลับออกมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง และควรดำเนินการร่วมกับทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์ พร้อมอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและมีแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างครบถ้วน
สนใจอบรมหลักสูตรที่อับอากาศ 4 ผู้
ศูนย์ฝึกอบรมที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี มีทั้งหลักสูตรสำหรับผุ้ปฏิบัติงาน ผู้ควบคุม ผู้อนุญาต และผู้ช่วยเหลือในที่อับอากาศ พร้อมจัดอบรมทั้งแบบ In-house ทั่วประเทศ
📞 ติดต่อสอบถามหรือขอใบเสนอราคาได้ที่
โทร: 064 958 7451 คุณแนน
อีเมล: [email protected]
เว็บไซต์: www.อบรมที่อับอากาศ.com
อ้างอิง
-
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. (2547). ประกาศเรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ.
-
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. (2549). กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการความปลอดภัยฯ
-
Occupational Safety and Health Administration (OSHA). (2005). Confined Spaces Standard 29 CFR 1910.146
-
National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH). (2010). Preventing deaths in confined spaces
-
สมาคมวิชาชีพระบบความปลอดภัยในการทำงาน (2563). คู่มือการประเมินและปฏิบัติงานในที่อับอากาศ.
บทความที่น่าสนใจ
- สรุปกฎหมาย อบรมความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ. 2564
- มาตรฐาน ATEX และ IECEx คืออะไร
- เปรียบเทียบ Blower แบบ AC กับ DC สำหรับพื้นที่อับอากาศ