การทำงานในพื้นที่อับอากาศ (Confined Space) นั้นเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในเรื่องของการขาดออกซิเจน การสะสมของก๊าซพิษ หรือไอระเหยที่ติดไฟได้ ดังนั้น “การระบายอากาศ” จึงเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมความปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าว หนึ่งในคำถามที่พบได้บ่อยจากผู้ประกอบการหรือผู้รับผิดชอบความปลอดภัยคือ “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรใช้กี่ CFM ในการระบายอากาศ?”
พื้นที่อับอากาศ คืออะไร?
พื้นที่อับอากาศ หมายถึง พื้นที่ซึ่งมีทางเข้าออกจำกัด มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี และไม่ได้ออกแบบไว้สำหรับการทำงานประจำ แต่ในบางช่วงเวลาอาจต้องมีคนเข้าไปทำงาน เช่น ถังเก็บสารเคมี, ท่อระบายน้ำ, บ่อบำบัดน้ำเสีย, ห้องเก็บน้ำใต้ดิน เป็นต้น
การเข้าไปทำงานในพื้นที่เช่นนี้จำเป็นต้องมีการระบายอากาศที่เหมาะสมก่อนและระหว่างการปฏิบัติงาน เพื่อควบคุมความเข้มข้นของสารอันตรายและเพิ่มระดับออกซิเจนให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย
ความหมายของค่า CFM และ ACH
CFM (Cubic Feet per Minute) คือ ค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณของอากาศที่ถูกระบายออกหรือเป่าเข้าไปในพื้นที่ ต่อหน่วยเวลา (ลูกบาศก์ฟุต/นาที)
ACH (Air Changes per Hour) คือ จำนวนครั้งที่อากาศภายในพื้นที่นั้นถูกเปลี่ยนใหม่โดยสมบูรณ์ภายในหนึ่งชั่วโมง
ช่วยตัดสินใจเลือกใช้ขนาดพัดลมดูดอากาศ ที่ใช้ในที่อับอากาศ
สูตรคำนวณค่า ACH และค่า CFM
สูตรคำนวณค่า ACH
โดยที่:
-
CFM = อัตราการไหลของอากาศ (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที)
-
V = ปริมาตรของพื้นที่อับอากาศ (ลูกบาศก์ฟุต)
-
60 = แปลงหน่วยจากนาทีเป็นชั่วโมง
หากต้องการทราบว่าเราควรใช้ CFM เท่าใด เพื่อให้ได้ ACH ตามมาตรฐาน (เช่น 6 ACH หรือ 10 ACH) สามารถใช้สูตรแปลงกลับได้ดังนี้:
มาตรฐานการระบายอากาศในพื้นที่อับอากาศ
ตามแนวทางของ NIOSH และ OSHA มีคำแนะนำว่า ควรมีการระบายอากาศให้ได้อย่างน้อย 6 ACH ถึง 10 ACH ก่อนเริ่มงาน และควรรักษาการไหลเวียนของอากาศให้คงที่ตลอดช่วงเวลาที่มีคนทำงานอยู่ภายใน
ตัวอย่างการคำนวณจริง
แบ่งเป็นกรณีต่างๆดังนี้
1. ถังทรงกระบอก
สมมุติ: ถังเก็บของเหลวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เมตร สูง 3 เมตร
คำนวณปริมาตร (V):
V = πr2h
= 3.14×(1)2×3 = 9.42 ลูกบาศก์เมตร
1ลูกบาศก์เมตร = 35.3147ลูกบาศก์ฟุต ⇒ V = 9.42×35.3147 = 332.6 ลูกบาศก์ฟุต
ต้องการ 10 ACH:
CFM = (10×332.6) / 60
= 55.43 CFM
ดังนั้นควรใช้เครื่องเป่าลมที่สามารถจ่ายอากาศได้อย่างน้อย 60 CFM
2. ท่อใต้ดิน
สมมุติ: ท่อทรงกระบอกยาว 10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร
V = πr2h
= 3.14×(0.5)2×10 = 7.85 ลูกบาศก์เมตร
1ลูกบาศก์เมตร = 35.3147ลูกบาศก์ฟุต ⇒ V = 7.85×35.3147 = 277.5 ลูกบาศก์ฟุต
ต้องการ 10 ACH:
CFM = (10×277.5) / 60
= 46.25 CFM
ใช้พัดลม 50 CFM ขึ้นไป
3. บ่อปั๊ม
สมมุติ: ขนาด 2 เมตร x 2 เมตร x ลึก 2 เมตร = 8 ลบ.ม.
8 ลบ.ม.= 282.5 ลูกบาศก์ฟุต
CFM = (10×282.5) / 60 = 47.1 CFM
ใช้พัดลม 50 CFM ขึ้นไป
ตารางเปรียบเทียบค่า CFM ตามขนาดพื้นที่
ปริมาตรพื้นที่ (ลบ.ม.) | ปริมาตร (ลบ.ฟุต) | CFM ที่ 6 ACH | CFM ที่ 10 ACH | ขนาดพัดลมที่แนะนำ |
---|---|---|---|---|
5 | 176.6 | 17.6 | 29.4 | 50 CFM |
10 | 353.1 | 35.3 | 58.9 | 100 CFM |
15 | 529.7 | 52.9 | 88.2 | 150 CFM |
20 | 706.3 | 70.6 | 117.7 | 200 CFM |
30 | 1059.4 | 105.9 | 176.5 | 250-300 CFM |
50 | 1765.7 | 176.6 | 294.3 | 400-500 CFM |
หมายเหตุ: ค่า CFM ที่ใช้จริงควรเผื่อค่าเสียดทานในท่อ, ความยาวของสายท่อลม, หรืออุปสรรคภายในพื้นที่ด้วย (แนะนำให้เพิ่ม 10–20% จากค่าที่คำนวณได้)
ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการระบายอากาศพื้นที่อับอากาศ
-
ใช้เครื่องเป่าลมชนิด Explosion-proof ในพื้นที่ที่มีไอระเหยติดไฟ
-
วางท่อดูดอากาศให้ใกล้พื้นที่สุดเพื่อลดก๊าซที่หนักกว่าอากาศ เช่น H₂S หรือ CO₂
-
ควรใช้การเป่าเข้า (positive pressure ventilation) มากกว่าการดูดออก ในกรณีที่สภาพอากาศภายนอกปลอดภัย
-
ตรวจวัดค่าก๊าซก่อนเข้าและระหว่างการทำงานเสมอด้วยเครื่อง Multi-Gas Detector
ควรอบรมเพื่อความปลอดภัยก่อนเข้าไปในพื้นที่อับอากาศ
แม้ว่าการคำนวณค่า CFM และการเลือกอุปกรณ์ระบายอากาศจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วนายจ้างจะจัด อบรมอับอากาศ 4 ผู้ ให้กับลูกจ้างเพื่อให้เข้าใจบทความการทำงานของแต่ละตำแหน่งที่ถูกต้อง
เนื้อหาการอบรมควรประกอบด้วย:
-
การประเมินความเสี่ยงพื้นที่อับอากาศ
-
การใช้และตรวจสอบอุปกรณ์วัดก๊าซ
-
การระบายอากาศอย่างถูกต้อง
-
การใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ PPE
-
การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในพื้นที่อับอากาศ (Rescue)
สรุป
การทำงานในพื้นที่อับอากาศจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพอากาศอย่างเข้มงวด โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการคำนวณอัตราการระบายอากาศ (CFM: Cubic Feet per Minute) ให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ เพื่อให้มีการหมุนเวียนอากาศเพียงพอในการลดปริมาณก๊าซอันตรายและเพิ่มปริมาณออกซิเจนตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย สูตรที่นิยมใช้คือ Air Changes per Hour (ACH) ซึ่งช่วยให้ทราบว่าในหนึ่งชั่วโมงต้องมีการถ่ายเทอากาศในพื้นที่อับอากาศกี่รอบ ทั้งนี้สามารถคำนวณจากปริมาตรของพื้นที่และจำนวน ACH ที่เหมาะสม โดยทั่วไปใช้ค่า 6–20 ACH ขึ้นอยู่กับประเภทความเสี่ยง
ติดต่ออบรมการทำงานในที่อับอากาศกับทีมวิทยากรมืออาชีพของเรา
ศูนย์ฝึกอบรมของเรามีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ดำเนินการสอนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจริง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระดับอุตสาหกรรม
✅ จัดอบรมในสถานประกอบการ (In-house)
✅ รองรับตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน
✅ มีใบรับรองผ่านการอบรมถูกต้องตามกฎหมาย
📞 ติดต่อสอบถามและขอใบเสนอราคาได้ที่:
โทร: 064 958 7451
อีเมล: [email protected]
เว็บไซต์: อบรมที่อับอากาศ.com
แหล่งอ้างอิง
-
National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH). (2020). Criteria for a Recommended Standard: Working in Confined Spaces.
-
Occupational Safety and Health Administration (OSHA). (29 CFR 1910.146). Permit-Required Confined Spaces.
-
ANSI Z117.1-2016. Safety Requirements for Entering Confined Spaces.
-
สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย). (2563). คู่มือการทำงานในที่อับอากาศ.
-
American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH). (2019). Industrial Ventilation: A Manual of Recommended Practice.
บทความที่น่าสนใจ
- NFPA 1981 มาตรฐาน SCBA เพื่อความปลอดภัย
- วิธีใช้ SCBA สำหรับผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ
- วิธีตรวจวัดสภาพอากาศในพื้นที่อับอากาศ